สำรวจราคาสองล้อไฟฟ้าบน Lazadaกันเถอะ!

สองล้อไฟฟ้าราคา

อยากได้สองล้อไฟฟ้า แต่ขี้เกียจจะออกบ้านใช่ไหม? ถ้าเป็นเมื่อก่อน ใครๆก็คงจะบอกคุณว่า งั้นก็ไม่ต้องซื้อหรอก แต่ว่า นั่นมันใช้ไม่ได้กับยุคสมัยนี้แล้วล่ะ เพราะอะไรน่ะหรือ นั่นก็เพราะว่า คุณมีช่องทางซื้อของออนไลน์แล้วยังไงล่ะ เพียงแค่นี้ คุณก็ไม่ต้องออกไปตากแดด ตากลม เพื่อเดินหาร้านที่คุณถูกใจอีกต่อไปแล้ว 

แล้วก็ไม่ได้มีเพียงแค่ของใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่คุณสามารถหาซื้อได้บนโลกออนไลน์นะ เพราะว่าคุณ ยังสามารถซื้อสองล้อไฟฟ้าได้ บนโลกออนไลน์แห่งนี้อีกด้วย! 

ซึ่งจะมีราคาเท่าไหร่กันบ้าง ในวันนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจกันว่า บน Lazada ใช่! บน Lazada! จะมีสองล้อไฟฟ้าราคาเท่าไหร่กันบ้าง ให้คุณได้เลือกซื้อ เลือกชอป กันอย่างจุใจไปเลย 

  • ฿22,990.00 

สำหรับร้านแรกนั้น มีรถสองล้อไฟฟ้าราคาอยู่ที่ 22,990.00 บาท เป็นสองล้อไฟฟ้า รุ่นที่มีชื่อว่า Electric Bikes LULAE V2 เป็นรุ่นที่ออกแบบมาได้อย่างทันสมัย และยังมีราคาที่ถูกมากเช่นกัน นอกจากนี้ สองล้อไฟฟ้ารุ่นนี้ ยังมีหลากหลายสีสัน ให้คุณได้เลือกลองขับ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย ก็เลือกลองขับได้ ตามสไตล์คุณ 

  • ฿24,207.00 

ร้านถัดไป มีรถสองล้อไฟฟ้าราคาอยู่ที่ 24,207.00 บาท เป็นรถสองล้อไฟฟ้า รุ่นที่มีชื่อว่า 1800W 48v ซึ่งรุ่นนี้นั้น ได้ถูกออกแบบมาได้มีความทันสมัย แม้จะมีสีเพียงไม่มาก แต่ก็ยังสามารถขับไปได้ในทุกที่ และเข้ากันกับทุกคน ดังนั้นไม่ว่าจะเพศใด ก็สามารถขับได้ ไร้ความกังวล 

  • ฿24,336.00 

รุ่นถัดไป เป็นรุ่น1000W 48V ซึ่งเป็นรถสองล้อไฟฟ้าราคาอยู่ที่ 24,336.00 บาท เป็นรุ่นที่ออกแบบมาได้อย่างมีความคลาสสิค น่าขับ และน่าลองใช้เช่นกัน แม้จะมีความคลาสสิค แต่อะไหล่ภายใน กลับมีความทันสมัย ไม่ตกยุคอย่างแน่นอน คุณจึงมั่นใจได้เลยว่า รถที่คุณขับ เป็นรถรุ่นใหม่ ที่มีความทันสมัย และคล่องตัวสุดๆ 

ท้ายที่สุดนี้ แม้ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่รถสองล้อไฟฟ้าเหล่านี้ ก็มีขายอยู่บน Lazada จริงๆ นะ ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองเข้าไปเช็กได้เลย

ประกันชั้น 1 ราคาเท่าไหร่ ตอบได้ไหมเอ่ย ?

ประกันชั้น 1 ราคาเท่าไหร่

คำถามชวนปวดหัว ที่เรามักพบเจอกันบ่อยๆ นั่นก็คือ ประกันชั้น 1 ราคาเท่าไหร่ ซึ่งหากจะถามว่า ประกันชั้น 1 ราคาเท่าไหร่ ทางบริษัทประกันก็คงจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะไม่สามารถบอกตัวเลขได้เป๊ะๆ เสียทีเดียว เอาเป็นว่าหากคุณอยากรู้ว่า ประกันชั้น 1 ราคาเท่าไหร่ ต้องพิจารณาจากสิ่งนี้เลย

เปรียบเทียบความคุ้มครองประกันชั้น 1 เพื่อหาว่า ประกันชั้น 1 ราคาเท่าไหร่ 

ก่อนอื่น คุณต้องพิจารณา และเปรียบเทียบความคุ้มครองจากหลายๆ บริษัท ว่าแต่ละบริษัทมีความคุ้มครองอย่างไร มีค่าเบี้ยเท่าไหร่ ซึ่งหลักๆ แล้วประกันชั้น 1 จะครอบคลุมความคุ้มครอง ดังนี้

  • การเสื่อมราคาหรือการสึกหรอของรถยนต์ 

รถยนต์ที่ใช้ไปนานๆหรือใช้งานหนักย่อมมีการสึกหรอของตัวรถยนต์และเครื่องยนต์เป็นธรรมดา เช่น รถใช้งานอย่างต่อเนื่องต่อมาเกิดเครื่องอืดมีควันดำต้องมีการซ่อมเครื่องเปลี่ยนอุปกรณ์ หรือรถจอดตากแดดทุกวัน สีบริเวณหลังคาและฝากระโปรงหน้าซีดหรือเปลี่ยนไป ต้องทำสีใหม่ แบบนี้ประกันไม่คุ้มครองค่ะ 

  • การแตกหักของเครื่องจักรกลไกของรถยนต์ อันมิได้เกิดจากอุบัติเหตุ 

ประกันภัยจะให้ความคุ้มครอง การแตกหักของเครื่องยนต์อันเกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้นเช่น เกิดการชนกับคู่กรณีอย่างรุนแรงจนเครื่องยนต์แตก แต่ถ้าไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น เกิดจากความบกพร่องมาจากการผลิต หรือมีการดัดแปลงเครื่องยนต์แล้วมีความเสียหายเกิดขึ้นภายหลัง แบบนี้ประกันไม่คุ้มครองค่ะ 

  • ความเสียหายโดนตรงต่อตัวรถยนต์ อันเกิดจากการบรรทุกน้ำหนักหรือจำนวนผู้โดยสารเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต อันมิได้เกิดจากอุบัติเหตุ 

ข้อนี้ไม่เพียงประกันไม่จ่ายแล้วยังผิดกฎหมายด้วยนะคะ การบรรทุกน้ำหนักหรือจำนวนผู้โดยสารเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายและเกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอกได้ด้วย แต่ต้องแยกประเด็นออกจากกันนะคะ ความเสียหายต่อบุคคลภายนอกยังได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดเหตุแต่ความเสียหายต่อตัวรถยนต์นั้นประกันไม่คุ้มครองค่ะ 

  • ความเสียหายต่อยางรถยนต์ อันเกิดจากการฉีกขาดหรือระเบิด เว้นแต่ มีความเสียหายต่อส่วนอื่นของรถยนต์ในเวลาเดียวกัน 

ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ ตัวอย่างเช่น ระหว่างขับรถยางรถยนต์ได้เกิดระเบิดขึ้นตัวยางได้รับความเสียหาย แต่ตัวรถยนต์ไม่มีความเสียหาย แบบนี้ตัวยางไม่ได้รับความคุ้มครอง แต่หากเกิดการชนกับคู่กรณีตัวรถได้รับความเสียหายและยางรถยนต์แตก แบบนี้ยางและตัวรถยนต์จะได้รับความคุ้มครอง 

  • ความเสียหายอันเกิดจากการขาดใช้รถยนต์ เว้นแต่ ขาดจากการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากบริษัทประวิงเวลาซ่อม หรือ ซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยไม่มีเหตุอันควร 

สำหรับข้อนี้การคุ้มครองของประกันรถยนต์ชั้น 1 โดยปกติแล้วเมื่อเกิดเหตุผู้เอาประกันที่เป็นฝ่ายถูกสามารถเรียกร้อง ค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการขาดใช้รถยนต์ได้จากคู่กรณี หรือบริษัทประกันภัยของคู่กรณีได้อยู่แล้ว เช่นรถของเราเป็นรถกระบะบรรทุก ต้องใช้ขนสินค้าไปขายในธุรกิจของเราทุกวัน ต่อมาเกิดเหตุเราเป็นฝ่ายถูก รถต้องซ่อมเป็นเวลาสิบวัน ในช่วงสิบวันนั้นเราต้องเช่ารถมาใช้เป็นเงิน10,000บาท ค่าเช่ารถนี้เราสามารถเรียกร้องได้จากคู่กรณีหรือบริษัทประกันของคู่กรณี แต่ไม่สามารถเรียกร้องจากประกันของเราเองได้ แต่จะสามารถเรียกร้องกับประกันของเราเองได้ในกรณี บริษัทประวิงเวลาซ่อม หรือ อู่ซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็น โดยไม่มีเหตุอันควร ทั้งนี้ต้องดูว่าเกิดสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร เช่น อะไหล่ขาดตลาด หายาก หรือเกิดจากอู่ซ่อม รับรถไว้มากเกินไปแล้วซ่อมไม่ทัน เป็นต้น 

BRILLIANT BLOCK เสริมสร้างจินตนาการ

https://www.bbtoysth.com/

ของเล่นสำหรับเด็กนอกจากจะเป็นสิ่งที่มีไว้เพื่อความสนุกสนาน สร้างความรู้สึกผ่อนคลายต่อเด็กแล้ว ยังเป็นอีกอุปกรณ์ที่ช่วยเสริมสร้างทักษะหรือเสริมพัฒนาการให้เด็กได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา หากผู้ปกครองสามารถเลือกของเล่นเสริมพัฒนาการที่เหมาะกับวัยของเด็กได้ ย่อมทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทักษะจากของเล่นเหล่านั้นได้อย่างสนุกสนานและได้ความรู้ไปพร้อมกันด้วย

https://www.bbtoysth.com/

          จินตนาการ เป็นทักษะที่เด็กสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้อยู่เสมอ เพราะจินตนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ดังนั้นนอกจากการเรียนรู้จากตำราเรียนหรือคำบอกเล่า ยังมีอุปกรณ์หลายอย่างที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็กได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การวาดรูป สมุดภาพระบายสี ที่จะช่วยให้เด็กได้จินตนาการสิ่งต่างๆออกมาได้ตามใจชอบ หรือการปั้นดินน้ำมันหรือแป้งโด ที่นอกจากจะช่วยสร้างจินตนาการแก่เด็กได้แล้วยังช่วยให้เด็กฝึกทักษะการควบคุมมือและนิ้วมือได้ละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย อีกหนึ่งของเล่นที่เป็นที่นิยม สามารถเล่นได้อยู่เสมอ เก็บรักษาได้นานและมีความคงทน คงจะหนีไม่พ้น BRILLIANT BLOCK หรือตัวก็คือตัวต่อบล็อกรูปร่างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวต่อบล็อกฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ตัวต่อบล็อกรูปร่างสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งมีขนาด สี และรูปร่างแตกต่างกันออกไป รวมไปถึงจำนวนชิ้นส่วนตัวต่อบล็อกที่สามารถเลือกจำนวนชิ้นที่เหมาะสมกับวัยของเด็กได้อย่างหลากหลาย เพราะตัวต่อที่มีจำนวนน้อยชิ้นจะมีความซับซ้อนและรูปแบบการต่อน้อยกว่า จึงเหมาะสำหรับเด็กที่อายุไม่มากนัก ต่างจากตัวต่อที่มีจำนวนหลายสิบชิ้น ที่มีความซับซ้อนและรูปแบบในการต่อมากขึ้น เด็กจึงต้องใช้จินตนาการที่มากขึ้นตามไปตัว ตัวต่อที่มีหลายชิ้นจึงเหมาะสำหรับเด็กที่เริ่มโตแล้ว

          เหตุผลที่ BRILLIANT BLOCK เหมาะสำหรับใช้ฝึกเสริมสร้างจินตนาการเนื่องมาจากตัวต่อเหล่านี้มีน้ำหนักเบา จึงเกิดอันตรายจากการเล่นได้น้อย มีสีสันสดใสสวยงามเพื่อดึงดูดให้เด็กมีความอยากเล่น เก็บรักษาง่าย ราคาไม่แพงนักและมีให้เลือกอย่างหลากหลาย จึงเหมาะที่จะนำของเล่นชิ้นมีมาเป็นของเล่นเสริมสร้างทักษะด้านจินตนาการสำหรับเด็กเป็นอย่างมาก สามารถดูของเล่นเด็กเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.bbtoysth.com/           ถึง BRILLIANT BLOCK จะเป็นของเล่นที่หาได้ง่ายและแทบไม่เป็นอันตราย แต่ความปลอดภัยนั้นก็ต้องมาจากของเล่นที่มีคุณภาพ ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน และสินค้าก็ควรแข็งแรงและได้มาตรฐานด้วย ดังนั้นการเลือกซื้อตัวต่อของเล่นเหล่านั้นจึงควรเลือกซื้อจากร้านที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น BBtoys ที่เป็นผู้ผลิตและนำเข้าของเล่นเด็กที่ได้มาตรฐาน มีของเล่นให้เลือกซื้อหลากหลาย และยังมีราคาถูก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อของเล่นให้แก่ลูกค้าได้

คนที่ชอบกัดเล็บตัวเอง เป็นเพราะอะไร ใช่เป็นโรคจิตหรือไม่

กัดเล็บตัวเอง

แต่ละคน ก็จะมีพฤติกรรมแต่งต่างกันไป คนร้อยคน ก็จะไม่เหมือนกันสักคน ทุกคนมักจะมีเอกลักษณ์ประจำตัว ทั้งเรื่องที่ดี และเรื่องที่ไม่ดี ที่มักจะเป็นพฤติกรรมติดตัว หรือสิ่งทีต้องทำเป็นประจำ จนตัวเองเห็นว่าเป็นเรื่องปรกติ แต่คนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่ดี และจะมองว่าเราแปลกด้วย ยิ่งเวลาที่เราไปทำพฤติกรรมบางอย่าง ในที่สาธารณะ

อย่างเช่นพฤติกรรมของการกัดเล็บ เราจะเห็นหลายคนมาก ที่มีนิสัยชอบกัดเล็บตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นขณะที่อยู่คนเดียว อยู่กับเพื่อน หรืออยู่ในที่สาธารณะก็ตาม คนที่ติดนิสัยนี้ มักจะลืมตัวอยู่เสมอ และต้องเผลอทำทุกครั้ง ทำให้คนที่มองเห็นพฤติกรรมลักษณะนี้ อาจจะมองเราไม่ดี

สำหรับสาเหตุ ของคนที่ชอบกัดเล็บ ตัวเองนั้น มาจากเรื่องความกังวล ความเครียด หรืออาการเบื่อต่างๆ เมื่อไหร่ที่เขามีอาการพวกนี้ มักจะยกนิ้วขึ้นมากัดเล็บเสมอ ซึ่งบ้างครั้งมันก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ โดยที่เจ้าตัวเอง ก็ไม่รู้สึกตัว ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำให้เสียบุคลิกภาพด้วย

ยิ่งคนที่อยู่ในวัยเรียนมหาลัย หรือคนที่อยู่ในวัยทำงาน หากยังมีพฤติกรรมการกัดเล็บอยู่ ก็อาจจะโดนคนรอบข้างนินทาเอาก็ได้ พฤติกรรมนี้ เราจะเห็นอยู่ในเด็กเป็นส่วนใหญ่ และผู้ใหญ่บางคนก็เป็นเหมือนกัน และจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

คนที่มีพฤติกรรม ชอบกัดเล็บ ถือว่าเป็นคนป่วยหรือไม่ ในทางจิตเวชแล้ว โรคกัดเล็บนั้น เป็นการทำเพื่อที่จะระบายความเครียดของตัวเอง อย่างโรควิตกกังวล หรือโรคย้ำคิดย้ำทำ คนที่ป่วยเป็นสองโรคนี้ มักจะมีพฤติกรรมการกัดเล็บแทบทุกคน และมักจะมีพฤติกรรมแบบนี้ด้วย เช่นจะกัดเล็บตัวเองจนเล็บผิดรูป ไม่สวยงาม หรือเล็บพังผิดรูปไปเลย คนที่กัดบ่อยๆ และขณะที่กัด ก็มักจะมีอาการเหม่อลอย เหมือนกำลังอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ บางคนก็กัดจนนิ้วหรือเล็บตัวเองเป็นแผลฉีกก็มี

และมักจะรู้สึกอายเสมอ ไม่อยากจะให้คนอื่นเห็นเล็บของตัวเอง เพราะว่าเล็บไม่สวย นอกจากนี้ ยังมีอาการอื่นร่วมอยู่ด้วย ซึ่งเข้าข่ายอยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือพฤติกรรมการเกา การดึงผม และการแคะส่วนต่างๆ ของร่างกาย การเขย่าขา เป็นต้น

อันตรายที่เกิดจากการกัดเล็บ นั้น ก็มีอยู่หลายอย่างมาก คนที่ชอบกัดเล็บตัวเอง ควรจะดูเอาไว้ ว่ามันมีผลเสียอะไรบ้าง เช่น เชื้อโรคที่มาจากเล็บของเราเอง เพราะมือของเราจับสิ่งของมากมาย พอเราเอามากัด เชื้อโรคที่ติดอยู่กับมือของเรา มันก็จะเข้าสู่ร่างกายของเรา ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ และเชื้อโรคแบคทีเรียจากน้ำลาย ก็อาจจะเข้าแผลที่เกิดจากการกัดเล็บด้วย ถือว่าเป็นอันตรายมาก อาจจะเกิดอาการอักเสบ เป็นหนอง คนที่รู้ตัวเอง ว่ามักจะเผลอกัดเล็บอยู่เสมอ หากไม่สามารถจะห้ามตัวเอง ก็ควรจะไปพบหมอดีกว่า จะได้รู้ว่า ควรจะแก้ไขอย่างไร เพราะพฤติกรรมนี้เป็นสิ่งที่ดูไม่ดี ทำให้บุคลิกภาพเสีย โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าเผลอไปกัดเล็บในที่สาธารณะ ควรจะไปหาทางแก้ หรือรักษาเสียโดยเร็วจะดีกว่า

คนโสด ต้องใช้ชีวิตอย่างไร ให้มีพลังอยู่เสมอ

คนโสด

คนที่อยู่คนเดียว มักจะมีปัญหาในเรื่องของความเหงา ความว้าเหว่ ไม่เหมือนกับคนที่มีแฟน ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะทำด้วยกันเสมอ ทำให้บางครั้ง คนที่โสด ไม่มีคู่ ก็เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาบ้าง ว่าทำไมตัวเอง ถึงไม่มีแฟนเหมือนกับเขาสักที โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุมากขึ้น เรื่องของการหาแฟน ก็จะยิ่งยากมากขึ้น เพราะคงไม่มีใครอยากจะได้สาวแก่แน่นอน ทำให้สาวๆ หลายคนกลัวการขึ้นคานมาก

แต่เมื่อเราไม่สามารถเลือกได้ และจำเป็นที่จะต้องอยู่เป็นโสดจริงๆ เราต้องทำอย่างไรบ้าง ให้เรามีพลัง มีกำลังใจอยู่เสมอ เพราะเราไม่มีคนมาคอยให้กำลังใจ เหมือนกับคนที่เขามีคู่

ต้องวางแผนเรื่องความสำเร็จ

เมื่อเราอยู่เป็นโสด ภาระหลายๆ อย่างก็จะน้อยลง เพราะเราไม่ต้องมากังวลในเรื่องของแฟน ว่าจะทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะถูกห้ามปราม เราสามารถที่จะตัดสินใจได้เองเลยว่า เราจะทำหรือไม่ทำ อะไรที่เราคิดว่า มันน่าจะสร้างรายได้ ทำให้เราประสบความสำเร็จ เราก็ควรเลือกทำเลย ไม่จำเป็นต้องรออะไรทั้งนั้น เมื่อเราอยู่คนเดียว เรื่องของเงินที่เราหามาได้ เราก็สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องไปแบ่งให้แฟนเก็บ หรือให้แฟนใช้ด้วย

อ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง

วิธีการสร้างแรงบันดาลใจที่ดีที่สุด เมื่อเราอยู่คนเดียว ก็คือการซื้อหนังสือ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองมาอ่าน จะทำให้เรามีพลังใจ พลังกายมากขึ้น ในการที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆ เมื่อไม่มีคนมาคอยให้กำลังใจเรา เราก็ต้องให้กำลังใจตัวเองเท่านั้น และต้องมองหาช่องทาง ในการที่จะทำอะไรให้มันสำเร็จ สูงมากขึ้น ในหนังสือแนวนี้ ก็จะมีหลากหลายวิธี หลายช่องทาง ที่แนะนำวิธีในการหาเงินรูปแบบต่างๆ ทั้งเรื่องของการลงทุน และการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

คบคนที่เก่งๆ

เมื่อเราอยากจะเก่งมากขึ้น เราก็ต้องคบคนที่เก่งๆ เท่านั้น เหมือนที่คำโบราณเขาว่ากันเอาไว้ คบคนเช่นไร ก็จะเป็นคนเช่นนั้น การคบคนเก่งๆ มันจะทำให้เราได้อะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต แนวทางในการหาเงิน หรือวิธีการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด

ทำความเพื่อสังคม

เมื่อเราอยู่ตัวคนเดียว ก็ลองออกไปหาช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง เช่นการไปช่วยเหลือเด็กกำพร้า คนพิการ เป็นต้น จะทำให้เรามองเห็นความสำคัญของชีวิตตัวเอง และทำให้เรารู้สึกว่าต้องสู้ เพราะเมื่อไหร่ที่เราท้อ เราก็ยังได้เห็นว่า มีคนที่ยังลำบากกว่าเราอีกเยอะ จะได้มีกำลังใจมาสู้กับชีวิตต่อไป

เมื่อเรายังไม่มีคนรัก สิ่งที่ได้บอกไปทั้งหมด ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ที่เราต้องทำให้กับชีวิตของเรา เชื่อได้เลยว่า เมื่อเรามีความสำเร็จที่มากขึ้น คนรักก็จะมาเองอัตโนมัติ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องวิ่งหาให้เหนื่อยเลย และก็ไม่ต้องกระวนกระวาย หรืออยากจะมีแฟนให้ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หันมาดูแลคนที่บ้านของเราให้มีความสุขก่อนดีกว่า

การเตรียมตัวเป็นเด็กมหาลัย ต้องเตรียมพร้อมเรื่องอะไรบ้าง

เด็กมหาลัย

หนุ่มสาวที่กำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัย หรือที่เราเรียกกันว่า เฟรชชี่ ก็อาจจะมีความตื่นเต้นบ้าง ที่ชีวิตจะได้เรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น กำลังจะเริ่มต้น เราจะได้พบกับเพื่อนใหม่ๆ ที่มาจากต่างที่ ต่างจังหวัด และต่างภาษากัน จะมีคนหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่เราชอบ และเราไม่ชอบ ก็จะได้มาเห็นในมหาลัยนี่แหละ ซึ่งถือว่าเป็นจุดสำคัญมากที่สุด ที่เราจะได้เอาความรู้ในมหาลัย ไปใช้ในการทำงานจริงๆ ของเราตอนเรียนจบ

และการเตรียมตัว สำหรับชีวิตในมหาลัยนั้น มีอะไรบ้าง ที่เด็กหนุ่มสาว ที่กำลังจะเข้ามหาลัย จะต้องเตรียมความพร้อมก่อนถึงเวลา เปิดเทอมจริงๆ

กิจกรรมเยอะมากขึ้น

เป็นเหมือนกันเกือบจะทุกมหาลัยสำหรับชีวิตนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่กิจกรรมต่างๆ เยอะมากไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมรับน้อง กิจกรรมที่ทำกันเป็นหมู่คณะเพื่อทำความรู้จักกัน ทั้งกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ที่เป็นแบบบังคับให้ทำ และกิจกรรมของคณะ สาขาที่เราเรียน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นักศึกษาใหม่ จะต้องวางแผนจัดตารางให้ดี ไม่ให้มีผลกระทบกับเรื่องเรียนของเรา

บางคนเน้นทำกิจกรรมมาก แต่เรียนได้ไม่ดี แบบนี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะคนที่ใช้ชีวิตในมหาลัยเป็น จะต้องเป็นคนที่ทั้งเรียน และกิจกรรมไปด้วยกันได้ทั้งสองอย่าง จึงจะถือว่าสมบูรณ์มากที่สุด

เรียนหนักมากขึ้น

โดยเฉพาะเด็กปี 1 ตารางการเรียนจะเยอะมาก แทบไม่มีเวลาจะพักเลยทีเดียว ทำให้บางคนก็อาจจะเรียนไม่ไหวจนบางคนต้องดรอปเรียน หรือร้ายที่สุดก็คือการโดนรีไทร์ ชีวิตการเรียนในปีหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อมให้มาก เรื่องของการบริหารเวลา เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะไหนจะกิจกรรม ไหนจะเรื่องเรียน ถ้าแบ่งเวลาไม่ได้ ก็อาจจะเกิดความเสียหายกับตัวเราเอง

หาโอกาส ทำความรู้จักกับอาจารย์

เนื่องจากชีวิตมหาลัย มีนักศึกษาหลายร้อย หลายพันชีวิต ทำให้อาจารย์ไม่สามารถ ที่จะมาดูแลทุกคนได้อย่างทั่วถึง สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การเข้าไปทำความรู้จักกับอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นการปรึกษาเรื่องการเรียน หรือการใช้ชีวิตก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะอาจารย์ในมหาลัย จะช่วยเราได้หลายอย่าง เมื่อเราเข้าไป แล้วเราก็จะได้รู้เอง

เตรียมมองหาที่ฝึกงาน

ก่อนที่จะจบมหาวิทยาลัย และออกไปทำงานจริงๆ ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ทุกคนต้องเจอ นั่นก็คือการฝึกงาน เพื่อที่เราจะได้ทดลอง สิ่งที่เราได้เรียนรู้มา ว่าเมื่อไปทำงานจริงๆแล้ว มันเป็นอย่างไร เราควรจะมองหาประเภทงาน หรือความถนัดต่างๆ ว่าเราเรียนจบแล้ว อยากจะไปทำงานอะไร ถ้าเราไม่มีจุดหมายเลย มันก็จะลำบากเหมือนกัน ถ้าเราต้องไปฝึกงานกับสิ่งที่เราไม่ชอบ

นี่คือเรื่องหลักๆ ที่นักศึกษาใหม่ในมหาวิทยาลัยจะต้องเจอ และต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ แต่ถึงมันจะหนักอย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตการทำงานจริงๆ หลังจากที่จบจากมหาวิทยาลัยแล้ว มันเทียบกันไม่ได้เลย การทำงานในชีวิตจริงนั้น มันหนักกว่าการเรียนมาก และภาระ ก็จะเยอะมากขึ้นด้วย เราต้องฝึกสิ่งต่างๆ พวกนี้ ตั้งแต่ตอนอยู่ในมหาลัยนี่แหละ ดีที่สุด